วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แปลคำศัพท์ LAP TCP/IP

แปลคำศัพท์ LAP TCP/IP


1. Ping = Ping เป็นโปรแกรมอินเตอร์เน็ตพื้นฐานที่ให้ตรวจสอบ IP address ที่มีอยู่และสามารถยอมรับคำขอ คำกริยา ping หมายถึงการกระทำของการใช้ส่วนการทำงานหรือคำสั่ง ping การวินิจฉัยเครื่องคอมพิวเตอร์โฮสต์สามารถใช้ ping เพื่อทำให้มั่นใจว่าเครื่องที่พยายามไปถึงยังคงทำงาน ตัวอย่าง ถ้าผู้ใช้ไม่สามารถ ping โฮสต์ จากนั้นผู้ใช้จะไม่สามารถใช้ File Transfer Protocol (FTP) เพื่อส่งไฟล์ไปยังโฮสต์นั้น รวมทั้ง ping สามารถใช้กับโฮสต์ที่กำลังทำงานเพื่อระยะเวลาการตอบสนอง การใช้ ping สามารถศึกษาหมายเลขของ IP address จากสัญลักษณ์ชื่อดเมน ความหมายอย่างหลวม ping หมายถึง “รับการส่งถึง” หรือ “ตรวจการปรากฎของ” ของอีกฝ่ายที่ออนไลน์ การทำงานของ ping เป็นการส่งแพ็คเกตไปยัง address ปลายทางและรอการตอบสนอง ตัวย่อคอมพิวเตอร์ (สำหรับ Packet Internet หรือ Inter-Network Groper) ได้รับการประดิษฐ์ไปตรงกับเรือดำน้ำสำหรับเสียงของการสะท้อนกลับของโซนาPing สามารถอ้างถึงขบวนการของการส่งข่าวสารไปยังสมาชิกทั้งหมดของ mailing list เพื่อการรับทราบ (ACK - acknowledgement code) สิ่งนี้กระทำก่อนการส่งอีเมล์เพื่อยืนยันว่าที่อยู่ทั้งหมดสามารถไปถึงได้

ที่มา =
http://www.widebase.net/knowledge/itterm/it_term_desc.php?term_id=ping


2. ip config = คำสั่ง IPConfig เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับเรียกดูหมายเลข IP Address ของเครื่องที่ท่านใช้งานอยู่ ซึ่งถ้าหากท่านไม่ทราบว่าหมายเลข IP Address ของเครื่องที่ท่านใช้งานอยู่นั้นเป็นหมายเลขอะไรหรือมีรายละเอียดอะไรที่เกี่ยวข้องกับหมายเลข IP Address บ้าง ก็สามารถใช้คำสั่งนี้เรียกดูผ่านหน้าต่าง Command Prompt ได้เลย

ที่มา =
http://www.varietypc.net/main/archives/692


3. ARP = ARP (Address Resolution Protocol) เป็นโปรโตคอลสำหรับการจับคู่ (map) ระหว่าง Internet Protocol address (IP address) กับตำแหน่งของอุปกรณ์ในระบบเครือข่าย เช่น IP เวอร์ชัน 4 ใช้การระบุตำแหน่งขนาด 32 บิต ใน Ethernet ใช้การระบุตำแหน่ง 48 บิต (การระบุตำแหน่งของอุปกรณ์รู้จักในชื่อของ Media Access Control หรือ MAC address) ตาราง ARP ซึ่งมักจะเป็น cache จะรักษาการจับคู่ ระหว่าง MAC address กับ IP address โดย ARP ใช้กฎของโปรโตคอล สำหรับการสร้างการจับคู่ และแปลงตำแหน่งทั้งสองฝ่าย

ที่มา =
http://www.thaiall.com/security/indexo.html


4. DNS = DNS ย่อมาจาก Domain Name System Domain ในความหมายทั่วไป หมายถึง พื้นที่ที่ควบคุม หรือ โลกของความรู้ในอินเตอร์เน็ต domain ประกอบด้วย กลุ่มของตำแหน่งเครือข่าย ชื่อ domain จัดโครงสร้างเป็นระดับ โดยระดับบนสุดเป็นการระบุด้านภูมิศาสตร์หรือจุดมุ่งหมายขององค์กร (เช่น .th หมายถึงประเทศไทย .com หมายถึงหน่วยธุรกิจ) ระดับที่สองเป็นชื่อที่ไม่ซ้ำ (Unique) ภายใน Domain ระดับบนสุด และระดับต่ำที่ต้องนำมาใช้ ดังนั้น Domain Name System ก็เป็นระบบจัดการแปลงชื่อ (Domain Name) ให้เป็นหมายเลข IP address (name-to-IP address mapping) โดยมีโครงสร้างฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นเพื่อใช้เก็บข้อมูลที่เรียกค้นได้อย่างรวดเร็ว หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การจดจำตัวเลข IP สำหรับแต่ละที่อยู่เว็บไซต์ มีความยากลำบาก ในทางปฏิบัติ จึงได้มีระบบการแปลงเลข IP ให้เป็นชื่อที่ประกอบขึ้นจากตัวอักษร คำ หรือ วลี เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ซึ่งเรียกว่า โดเมนเนม (Domain Name) เมื่อเราป้อนที่อยู่เว็บไซต์ หรือโดเมนเนม ให้กับโปรแกรม Browser คอมพิวเตอร์จะทำการ แปลงโดเมนเนมให้เป็นชุดตัวเลข IP เพื่อให้คอมพิวเตอร์ด้วยกันเอง เข้าใจระบบที่ใช้แปลง ค่าระหว่างโดเมนเนม และ เลข IP นี้เรียกว่า Domain Name System (DNS) ซึ่งโดยปกติจะมี 2 ส่วน คือ


Primary Name Server เป็นเครื่องหลักที่เก็บข้อมูล ชื่อ และ IP Address ของเครื่องในโดเมนเนม


Secondary Name Server เป็นเครื่องสำรองที่เก็บสำเนาข้อมูลทั้งหมดของเครื่อง Primary ซึ่งอาจมีการสำรองมากกว่า1 เครื่องก็ได้



5. Physical Address = physical address คือ address ของ hardware ชิ้นนั้นๆ ซึ่งแต่ละอุปกรณ์จะมีหมายเลขที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อใช้อ้างอิงตัวตนของอุปกรณ์นั้นๆซึ่ง address พวกนี้จะเป็นตัวเลขฐาน ประกอบด้วย 2ส่วน คือ หมายเลขของผู้ผลิต และหมายเลขของอุปกรณ์ ซึ่งมีหลายตำแหน่ง และจดจำยาก


การค้นหา physical address ของอุปกรณ์ จาก logical address นั้น อย่างในกรณีของเครือข่ายที่ใช้ ip จะมีกระบวนการหา physical address โดยการนำเอา ip address มาเข้าสู่กระบวนการ ในการทำ arp (address resolution) เพื่อหา physical address จริง ของอุปกรณ์ที่มี ip นั้นๆ











วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สรุป Networking Animations

1. No Network เป็นการทำงานโดยไม่ผ่านLan หรือ Router เป็นการส่งเอกสาร หรือข้อมูลนั้น ผ่านบุคคล หรือดิสก์เกต โดยใช้แรงงานคนในการส่งข้อมูล เป็นทอดๆ หรือ เป็นลูกโซ่ ตามลำดับ
2. Hub การทำงานของHub จะส่งข้อมูลผ่านHub โดยที่เครื่องต้นทางและปลายทางจะต้องถูกระบุไว้ ในการส่งข้อมูลผ่านHub Hub จะทำงาน แค่ส่งผ่านแต่ไม่สามารถอ่านหรือกรองข้อมูลได้ มีหน้าที่เพียงส่งข้อมูลจากต้นทางถึงปลายทางที่กำหนดไว้เท่านั้น

3. Switch จะทำงานในการรับ-ส่งข้อมูลที่สามารถส่งข้อมูลจากพอร์ตหนึ่งของอุปกรณ์ไปยังเฉพาะพอร์ตปลายทางที่เชื่อมต่ออยู่กับอุปกรณ์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งข้อมูลไปหาเท่านั้น ซึ่งจากหลักการทำงานในลักษณะนี้ทำให้พอร์ตที่เหลือของอุปกรณ์ Switch ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรับ-ส่งข้อมูลนั้นสามารถทำการรับ-ส่งข้อมูลกันได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน

4. Switched Network With No Server เป็นการแชร์ข้อมูล หรือ ส่งผ่านข้อมูล หรือสั่งงานอุปกรณ์อื่น ผ่านพอร์ตที่เชื่อมต่อกันไว้ เราสามารถส่งผ่านข้อมูลให้กันได้ หรือสั่งให้อุปกรณ์อื่นทำงานได้ เช่น สั่งPrint งาน เป็นต้น หากเราส่งข้อมูลไปยังเครื่องอื่น โดยไม่มี server ข้อมูลนั้นจะไม่สามารถบันทึกและเปิดดูได้อีก
5. Switched Network With Server เป็นการทำงานตรงข้ามกับข้อ4 โดยที่ไม่มีserver ถ้าหากมีserverจะสามารถบันทึก จัดเก็บข้อมูลได้ และเรียกใช้ได้อีกด้วย หากปิด คอมพิวเตอร์แล้วเปิดอีกที ก็ยังพบไฟล์ที่เราเคยได้แชร์หรือส่งให้กันได้อยู่ โดยผ่านswitch และ server
6. Adding Switches เป็นการทำงาน แบบเพิ่มฮาร์ดแวร์หรือการเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปอีก และเมื่อเพิ่ม อุปกรณ์เหล่านั้นก็สามารถใช้งานผ่าน Switch ได้เหมือนกับอุปกรณ์อื่นๆ โดยเพิ่ม Switch เข้ามาอีกสองตัวเพื่อเป็นตัวกลางส่งผ่านข้อมูลและ อุปกรณ์

8. ARP with Multiple Networks เป็นการทำงาน ผ่านเครือข่าย Lan 2 เครือข่าย ผ่านทั้ง Switch และ Router โดยในการส่งข้อมูลผ่านนั้นจะต้องระบุ IP ADDRESS ถึงต้นทางและ IP ADDRESS ของปลายทางด้วยโดยส่งผ่าน Switch แล้ว ส่งผ่านไปยัง Router Router ก็จะทำการอ่านข้อมูล Modified ข้อมูลเพื่อส่งไปยัง เครื่อง ปลายทาง

9. DHCP เป็นการส่งข้อมูลโดยคอมพิวเตอร์ที่ส่งจะส่งไปให้กะuserคนอื่นๆและยังส่งไปให้กับ DHCP server โดยผ่าน Relay agent ส่งไปยัง DHCP server แล้วDHCP serverจะค้นหา IP Address แล้วส่งกลับคืนยังเครื่องผู้ส่ง

10.Router and Forwording ส่งข้อมูลโดยอาศัยRouter หลายๆตัว ในการส่งผ่าน และอาศัยSwitch เป็นตัวกลาง ก่อนจะส่งไปถึง Router โดยมีการตรวจสอบทั้ง Subnet number และ Ip Address อีกด้วย

11.IP Subnets การส่งข้อมูล โดยเครื่องส่งจะส่งไปให้ยังเครื่องที่ต้องการรับโดยผ่านswicthแล้วเครื่องที่ได้รับจะส่งข้อมูลไปยังเครื่องรับอีกกลุ่มหนึ่งโดยผ่านRouterไปยังเครื่องที่ต้องการส่ง

12.TCP Connections ส่งข้อมูลโดยเครื่องที่ส่งจะระบุ TCP ที่ชื่อว่าSYNพร้อมIPไปยังเครื่องServer โดยผ่านRouterต่างๆ แล้วเมื่อserverได้รับก็จะส่งTCPที่ชื่อว่าSYN+ACK พร้อมIPกลับไปยังเครื่องที่ส่งมาและเครื่องนั้นจะส่งTCP ที่ชื่อว่าACKกลับไปยังserver

13.TCP Multiplexing เครื่องที่ต้องการส่งจะต้องระบุ Destination Port(Http) และ Sort Port และต้องระบุDestination IP และ Source IP ใน TCP ในกรณีที่เป็นftp://ให้ระบุ Destination Port (ftp)และSort Port และ Destination IP และSource IPเช่นกัน แล้วจะส่งไปยังserver แล้วserver จะตรวจสอบ Http หรือ ftpแล้วก็จะส่งกลับ

14.TCP Buffering and Sequencing การส่งข้อมูลทีละน้อยโดยอาศัย Sequencing ในการส่งและรับจนกว่าจะครบตามความไวของInternet

15.User Datagram Protocol (UDP) จะต้องระบุ Distination Port(tftp)และsort port(tftp client)ในUDP Header และใส่Distination Port และSort Port ของVioce over IP ด้วยในการส่ง และทำการส่งโดยผ่านRouterหลายๆตัวและserverจะตรวจสอบ และเครื่องที่ส่งจะส่งเรื่อยๆเมื่อserverทำหยุดการทำงานข้อมูลที่ส่งไปก็จะถูกลบทิ้งและไม่สามารถจัดเก็บได้
16.IP Fragmentation เมื่อส่งจะระบุ Ident , Flag,offset โดยจะส่งไปทีละส่วน ไปยังเครื่องserverโดยMTU ต้องอยู่ระหว่าง 576 - 1500 byteนอกเหนือจากนี้จะถูกลบทิ้ง

17.Swicth Congesion แล้วจะส่งไปเป็นลำดับและระยะห่างที่เท่ากันโดยอาศัยBufferเป็นตัวแบ่งในกรณีที่ข้อมูลที่ต้องการส่งเกินBufferข้อมูลก็จะถูกทำลายทันที

18.TCP Flow Control0t ใช้Bufferในการส่งโดยมีความไวระหว่าง2000 byteในการส่งและต้องส่งทีละไม่เกิน 2000 byte

19.Internet Access เมื่อผู้ใช้ใช้Internet และทำงานหลายๆอย่างพร้อมๆกัน และเมื่อเราใช้Internetในการเข้าWebsite เครื่องก็จะส่งไปยังServerของwebนั้นโดยผ่านRouterหลายตัวแล้วserverนั้นจะส่งสัญญาณกลับมายังเครื่องและจะปรากฏปัญหา หรือหน้าเว็บ

20.Email Protocols จะต้องระบุ E-mail Address ของผู้รับในการส่ง แล้วจะส่งไปยังserverแล้วserverจะส่งไปให้ผู้รับในเวลาต่อไป

21.Wireless Network and Multiple access with collision avoidance เป็นการทำงานแบบเป็นกลุ่มๆในพื้นที่ใกล้เคียงกัน